Categories
Blog

CROSS BORDER คืออะไร? สำคัญอย่างไร?

CROSS BORDER คืออะไร? สำคัญอย่างไร?

​CROSS BORDER คือ การค้าข้ามแดน หรือการค้าผ่านแดน เป็นอีกหนึ่งช่องทางของการขนส่งทางโลจิสติกส์ในการนำเข้า-ส่งออกสินค้าจากประเทศต่าง ๆ การค้าผ่านแดน รวมไปถึงการ จัดการพิธีการต่างๆ ระว่างประเทศที่มีพรมแดนติดกันกับผู้ส่งออก หรือ แม้กระทั้ง การยินยอมให้มีสินค้าผ่านเขตอาณาจักรของตนเพื่อส่งออกไปประเทศที่สาม เพื่อประโยชน์ซึ่งกันและกัน ตามความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แต่ต้องปฏิบัติตามระเบียบที่กำหนดไว้ของประเทศนั้นๆ อย่างเคร่งครัด

ตัวอย่างของการค้าข้ามแดน หรือการค้าผ่านแดน
กรณีการขนส่งสินค้า ผ่านแดน จากประเทศไทยไปยังประเทศสิงคโปร์จะต้องผ่าน ประเทศมาเลเซียก่อน จึงผ่านแดนต่อไปยังสิงคโปร์ได้ มีขั้นตอนในการดำเนิน การในฝั่งประเทศไทยดังต่อไปนี้
1. จัดใบส่งสินค้าขาออก
2. จัดทำใบบัญชีสินค้า
3. จัดทำบัญชีสินค้า (ศ.บ.3)
4. ผ่านศุลกากร ได้รับใบขนส่งสินค้าและตรวจสอบแล้ว โดยกรมศุลกากร
5. ตรวจปล่อยสินค้า และ ผูกตราศุลกากร
6. รับบรรทุกการส่งสินค้านอกราชอาณาจักรไทย
7. ส่งมอบเอกสารสำเนาตรวจปล่อยให้กับผู้ขนสินค้าหรือผู้ขนส่ง เพื่อนำไปดำเนินการผ่านแดนต่อไป

กรณีการดำเนินการนำเข้าสินค้าเพื่อส่งออกผ่านแดน ผ่านทางประเทศมาเลเซียไปยังสิงคโปร์มีเงื่อนไขและขั้นตอนดังต่อไปนี้
1. ต้องจัดทำใบนำเข้าสินค้านำเข้าผ่านแดนตามแบบฟอร์ม หมายเลข 8 พร้อมยื่นเอกสารส่งออกที่ผ่านการตรวจสอบแล้วจากศุลกากรไทยประกอบด้วย โดยเอกสารนี้จะต้องมีการสำแดงท่าปลายทางที่จะส่งไป
2. ต้องส่งด้วย รถบรรทุก หรือ รถบรรทุกคอนเทนเนอร์ แบบทึบ เท่านั้น
3. ต้องเชื่อมคัทซี(โครงสร้างของรถบรรทุก)กับคอนเทนเนอร์ต่อกันทุกครั้ง/ทุกคัน
4. จะต้องขนส่งด้วยเส้นทางที่ประเทศมาเลเซียกำหนดเท่านั้น
5. รถขนส่งใด ๆ จะต้องเป็นรถที่ได้รับการอนุญาตแล้วเท่านั้น

หลักกฎหมายที่ควรทราบในการนำเข้าหรือส่งออกผ่านแดน ตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469
การส่งออก
มาตรา 45บัญญัติว่า “ก่อนการส่งของใดๆออกนอก ราชอาณาจักร ส่งออกจะต้องปฏิบัติให้ครบถ้วนตาม พระราชบัญญัติ และตามกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง กับกรมศุลกากร กับต้องยื่นใบขนสินค้าโดยถูกต้อง และ เสียภาษีอากรจนครบถ้วน หรือวางเงินไว้เป็นประกัน การขอวางเงินประกันให้เป็นไปตามที่อธิบดีกำหนด

ในกรณีที่มีการร้องขอและอธิบดีเห็นว่าของใดมีความจำเป็นที่ จะต้องส่งออกนอกราชอาณาจักรโดยรีบด่วน อธิบดีมี อำนาจให้ส่งของนั้นออกไปได้โดยยังไม่ต้องปฏิบัติ ตาม วรรคหนึ่งก่อน แต่ต้องปฏิบัติตามอธิบดีกำหนด และใน กรณีที่อาจจะต้องเสียภาษีอากร ให้วางเงินหรือหลักประกันอย่างอื่นเป็นที่พอใจอธิบดีเพื่อเป็นประกันค่าภาษี อากรด้วย ”

การนำเข้า

มาตรา 40 บัญญัติว่า “ก่อนจะนำของใดๆไปจากอารักขา ศุลกากร ผู้นำเข้าต้องปฏิบัติให้ครบถ้วนตามพระราช บัญญัตินี้ และตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการศุลกากร กับ ต้องยื่นใบขนสินค้าโดยถูกต้อง และเสียภาษีอากรจนครบ ถ้วน หรือวางเงินไว้เป็นประกัน การขอวางเงินประกันให้ เป็นไปตามระเบียบที่อธิบดีกำหนด

ในกรณีที่มีการร้องขอและอธิบดีเห็นว่าของใดมีความจำเป็นที่ จะต้องนำออกนอกอารักขาศุลกากรโดยรีบด่วน อธิบดีมี อำนาจให้นำของนั้นไปจากอารักขาศุลกากรได้โดยยังไม่ ต้องปฏิบัติตามวรรคหนึ่งก่อน แต่ต้องปฏิบัติตามอธิบดี กำหนด และในกรณีที่อาจจะต้องเสียภาษีอากร ให้วางเงินหรือหลักประกันอย่างอื่นเป็นที่พอใจอธิบดีเพื่อเป็น ประกันค่าภาษี อากรด้วย ”

การเสียภาษี

– มาตรา 10 บัญญัติว่า บรรดาค่าภาษีนั้น ให้เก็บตามพระราช บัญญัตินี้และตามกฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราอากร การเสียภาษี อากรให้เสียแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ในเวลาที่ออกใบขนสินค้าให้
– มาตรา 10 ทวิบัญญัติว่า “ความรับผิดในอันที่ต้องเสีย ภาษีสำหรับ ของที่นำเข้าเกิดขึ้นในเวลาที่นำของเข้าสำเร็จ
– มาตรา 10ตรีบัญญัติว่า “ความรับในอันจะต้องเสีย ภาษีสำหรับของที่ส่งออกเกิดในเวลาที่ส่งของออกสำเร็จ การคำนวณค่าภาษีให้ถือตามสภาพของราคาของ และพิกัด อัตราศุลกากรที่เป็นอยู่ในเวลาที่ออกใบขนสินค้าให้

ท่านำเข้า-ส่งออก

มาตรา 4 บัญญัติว่า “เพื่อความประสงค์แห่งการนำของเข้า หรือส่งของออกศุลกากร ให้รัฐมนตรีมีอำนาจออกกฎกระทรวง
1. กำหนดท่า หรือที่ใดๆในราชอาณาจักรให้เป็นท่าหรือที่ สำหรับการนำเข้าหรือส่งออก ของประเภทใดๆ หรือทุกประเภททางทะเล หรือทางบก หรือทางอากาศ ให้เป็นท่าหรือที่สำหรับขอคืนอากรของที่ทัณฑ์บน ทั้งนี้โดยมีเงื่อนไขตามแต่จะเห็นสมควร
2. กำหนดสนามบินใดๆในราชอาณาจักรให้เป็นสนามบิน ศุลกากร โดยมีเงื่อนตามแต่จะเห็นสมควร
3. ระบุเขตศุลกากร ณ ท่าใด หรือที่ใด หรือสนามบินใดซึ่งกำหนดไว้

Categories
Blog

Handling Charge คืออะไร?

ประเภทของ Handling Charge 

มี Handling Charge หลายประเภท ขึ้นอยู่กับบริการที่ใช้ ตัวอย่างเช่น: 

  • Terminal Handling Charge (THC): ค่าธรรมเนียมการจัดการท่าเรือ เป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการขนถ่ายสินค้าระหว่างตู้คอนเทนเนอร์กับเรือ 
  • Delivery Order (DO) Charge: ค่าธรรมเนียมเอกสาร DO เป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการออกเอกสาร DO ซึ่งใช้ในการรับสินค้าจากท่าเรือ 
  • Demurrage Charge: ค่าธรรมเนียมการล่าช้า เป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการคืนตู้คอนเทนเนอร์ล่าช้า 
  • Detention Charge: ค่าธรรมเนียมการกักตู้ เป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการเก็บตู้คอนเทนเนอร์ไว้ที่ท่าเรือนานเกินกำหนด 
  • Customs Clearance Charge: ค่าธรรมเนียมพิธีการศุลกากร เป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการดำเนินการพิธีการศุลกากร 

ใครต้องจ่าย Handling Charge? 

โดยทั่วไปแล้ว Handling Charge จะถูกเรียกเก็บจากผู้ส่งออก หรือ ผู้นำเข้า ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขการค้า (Incoterms) ที่ตกลงกันไว้ 

วิธีการคำนวณ Handling Charge 

วิธีการคำนวณ Handling Charge แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับแต่ละบริษัทขนส่ง สายเรือ หรือผู้ให้บริการโลจิสติกส์ 

ตัวอย่างการคำนวณ Handling Charge 

  • Terminal Handling Charge (THC): คำนวณเป็นหน่วย TEU (Twenty-foot Equivalent Unit) 
  • Delivery Order (DO) Charge: คำนวณเป็นใบ 
  • Demurrage Charge: คำนวณเป็นวัน 
  • Detention Charge: คำนวณเป็นวัน 
  • Customs Clearance Charge: คำนวณเป็นเปอร์เซ็นต์ของมูลค่าสินค้า 

วิธีการหลีกเลี่ยง Handling Charge 

  • เปรียบเทียบราคาจากผู้ให้บริการหลายราย 
  • เจรจาต่อรองราคา 
  • อ่านเงื่อนไขการค้า (Incoterms) อย่างละเอียด 
  • วางแผนการจัดส่งสินค้าล่วงหน้า 

Handling Charge เป็นส่วนหนึ่งของค่าใช้จ่ายในการขนส่งสินค้า ผู้ประกอบการควรศึกษาข้อมูลและเปรียบเทียบราคาจากผู้ให้บริการหลายรายก่อนตัดสินใจเลือกใช้บริการ 

 

Categories
Blog

ค่าใช้จ่ายสายเรือ มีอะไรบ้าง

ค่าใช้จ่ายสายเรือ (shipping costs) ประกอบด้วยหลายองค์ประกอบที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับลักษณะการขนส่ง ประเภทของสินค้า เส้นทาง และบริการที่เลือกใช้ ค่าใช้จ่ายหลัก ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งทางเรือได้แก่: 

  1. ค่าใช้จ่ายในการขนส่ง (Freight Charges)
  • ค่าใช้จ่ายพื้นฐาน (Basic Freight): ค่าขนส่งสินค้าจากท่าเรือหนึ่งไปยังอีกท่าเรือหนึ่ง คิดตามน้ำหนักหรือปริมาตรของสินค้า 
  • ค่าบรรทุกสินค้า (Bunker Adjustment Factor, BAF): ค่าใช้จ่ายในการเติมน้ำมันเรือ ซึ่งมักปรับตามราคาน้ำมันในตลาด 
  • ค่าใช้จ่ายเพื่อความปลอดภัย (Security Surcharge): ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมเพื่อครอบคลุมการรักษาความปลอดภัยของสินค้าระหว่างการขนส่ง 
  1. ค่าใช้จ่ายที่ท่าเรือ (Port Charges)
  • ค่าธรรมเนียมท่าเรือ (Port Dues): ค่าธรรมเนียมที่ท่าเรือเรียกเก็บสำหรับการใช้บริการและสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ที่ท่าเรือ 
  • ค่าขนถ่ายสินค้า (Stevedoring Charges): ค่าใช้จ่ายในการขนถ่ายสินค้าขึ้นและลงจากเรือ 
  • ค่าจอดเรือ (Dockage Charges): ค่าจอดเรือที่ท่าเรือ 
  1. ค่าใช้จ่ายในการจัดการสินค้า (Cargo Handling Charges)
  • ค่าใช้จ่ายในการจัดการสินค้า (Terminal Handling Charges, THC): ค่าใช้จ่ายในการจัดการสินค้าที่ท่าเรือ รวมถึงการบรรจุและขนถ่ายสินค้าจากตู้คอนเทนเนอร์ 
  • ค่ารักษาสินค้า (Storage Charges): ค่ารักษาสินค้าที่โกดังหรือที่เก็บสินค้าของท่าเรือ 
  1. ค่าใช้จ่ายในการบรรจุและขนส่ง (Container Charges)
  • ค่าใช้จ่ายในการบรรจุตู้คอนเทนเนอร์ (Container Stuffing Charges): ค่าบรรจุสินค้าในตู้คอนเทนเนอร์ 
  • ค่าใช้จ่ายในการยกเลิกการบรรจุตู้คอนเทนเนอร์ (Container Unstuffing Charges): ค่ายกเลิกการบรรจุสินค้าออกจากตู้คอนเทนเนอร์ 
  • ค่าธรรมเนียมการใช้ตู้คอนเทนเนอร์ (Container Rental Charges): ค่าธรรมเนียมการใช้ตู้คอนเทนเนอร์ ถ้าผู้ส่งสินค้าไม่ได้ใช้ตู้คอนเทนเนอร์ของตนเอง 
  1. ค่าใช้จ่ายในการบริการเพิ่มเติม (Additional Service Charges)
  • ค่าประกันภัย (Insurance Charges): ค่าประกันภัยสินค้าระหว่างการขนส่ง 
  • ค่าพิธีการศุลกากร (Customs Clearance Charges): ค่าดำเนินการในการเคลียร์ศุลกากรสินค้านำเข้าและส่งออก 
  • ค่าบริการตัวแทนเรือ (Agency Fees): ค่าบริการของตัวแทนเรือที่ดูแลการจัดการและประสานงานการขนส่ง 
  1. ค่าใช้จ่ายฉุกเฉินและค่าธรรมเนียมอื่น ๆ (Emergency and Miscellaneous Charges)
  • ค่าใช้จ่ายในกรณีฉุกเฉิน (Emergency Bunker Surcharge, EBS): ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในกรณีฉุกเฉิน เช่น ราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว 
  • ค่าธรรมเนียมการเปลี่ยนเส้นทาง (Diversion Charges): ค่าธรรมเนียมสำหรับการเปลี่ยนเส้นทางการขนส่งสินค้า 
  1. ค่าใช้จ่ายในการจัดการโลจิสติกส์ (Logistics Management Charges)
  • ค่าขนส่งภายในประเทศ (Inland Transportation Charges): ค่าขนส่งสินค้าจากท่าเรือไปยังปลายทางภายในประเทศ เช่น ค่ารถบรรทุก หรือค่ารถไฟ 
  • ค่าบริการรวมขนส่ง (Door-to-Door Delivery Charges): ค่าบริการขนส่งสินค้าจากต้นทางถึงปลายทางที่ต้องการ โดยรวมทุกขั้นตอนการขนส่งและการจัดการ 
  1. ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ (Miscellaneous Charges)
  • ค่าธรรมเนียมการจัดการอุปกรณ์ (Equipment Management Fees): ค่าธรรมเนียมในการดูแลและจัดการอุปกรณ์ขนส่ง 
  • ค่าธรรมเนียมเอกสาร (Documentation Fees): ค่าธรรมเนียมในการเตรียมและจัดทำเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งสินค้า 
Categories
Blog

Air Waybill (AWB) เป็นเอกสารที่มีความสำคัญสำหรับการขนส่งสินค้า

Air Waybill (AWB) เป็นเอกสารที่มีความสำคัญสำหรับการขนส่งสินค้าทางอากาศ มีรายละเอียดและบทบาทที่สำคัญดังนี้

1.การระบุและระบุตัวตน

AWB ระบุข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับผู้ส่งและผู้รับสินค้า รวมถึงชื่อและที่อยู่ของทั้งสองฝ่าย นอกจากนี้ยังระบุสถานที่ส่งและสถานที่หมายปลายทางที่กำหนดไว้

2.ข้อมูลการขนส่ง

AWB ระบุรายละเอียดเกี่ยวกับการขนส่ง เช่น ประเภทของสินค้า (เช่น สินค้าอุตสาหกรรม, สินค้าที่มีความเป็นอันตราย), จำนวนหีบห่อ, น้ำหนักของสินค้า เป็นต้น

3.เอกสารทางศาสตร์

AWB เป็นเอกสารทางศาสตร์ที่มีความสำคัญ ต้องมีตามกฎหมายและเป็นหลักฐานที่จำเป็นในกระบวนการต่าง ๆ ของการขนส่งสินค้าทางอากาศ เช่น การอนุมัติการขนส่ง, การเก็บเงิน, และการประกันสินค้า

4.การติดตามสินค้า

AWB เป็นเอกสารที่ใช้ในการติดตามสถานะของสินค้าในระหว่างการขนส่ง ทำให้ผู้ส่งและผู้รับสามารถตรวจสอบได้ว่าสินค้าอยู่ในขบวนการขนส่งอย่างไรในขณะนั้น

5.ความสำคัญของ AWB

AWB เป็นเอกสารที่เป็นกฎหมายและต้องถูกต้องในการใช้งาน มันช่วยให้กระบวนการขนส่งสินค้าทางอากาศเป็นไปอย่างมีระเบียบ และช่วยลดความผิดพลาดในการจัดส่งสินค้าได้
ดังนั้น AWB เป็นเอกสารที่มีความสำคัญสำหรับทั้งผู้ส่งและผู้รับสินค้าที่กำลังจะขนส่งผ่านทางการบิน

AWB คือ ใบกำกับสินค้าสำหรับการขนส่งทางอากาศ ระหว่างประเทศ โดยมีบทบาทแบบเดียวกับใบส่งสินค้าของ EMS หรือ DHL

สรุป

รายละเอียดบน AWB มีอะไรบ้าง
1. ชื่อสายการบิน
2. หมายเลข AWB
3. SHIPPER: ชื่อผู้ขนส่งและที่อยู่
4. CONSIGNEE: ชื่อผู้รับที่อยู่
5. สนามบินต้นทาง
6. สนามบินปลายทาง
7. หมายเลขเที่ยวบิน
8. ปริมาณสินค้า
9. น้ำหนักรายการ
10. น้ำหนักที่ต้องชำระ
11. ค่าขนส่งทางอากาศ * ตามที่จัด
12. ชื่อรายการ
* ค่าบริการเพิ่มเติม (ค่าน้ำมัน,ค่ารักษาความปลอดภัย ฯลฯ)

Categories
Blog

Delivery Order ใบปล่อยสินค้า

Delivery Order) ใบปล่อยสินค้า คือ ใบที่ผู้นำเข้าต้องใช้สำหรับนำไปปล่อยตู้สินค้าที่ท่าเรือ  ผู้ที่ออกใบนี้ให้คือผู้ให้บริการขนส่งระหว่างประเทศ ดังนั้น เอกสารใบนี้จึงความสำคัญอย่างมาก ดังนั้น มันมีข้อมูลที่ละเอียดอย่างครบถ้วนเพื่อให้กระบวนการดำเนินไปได้อย่างเรียบร้อยและ มีประสิทธิภาพ ใบปล่อยสินค้าหรือ Delivery Order (D/O) เป็นเอกสารที่ใช้ในการจัดการขนส่งสินค้าทางทะเล โดยมักจะประกอบด้วยข้อมูลต่อไปนี้อย่างละเอียด:

  1. รายละเอียดเรือและเส้นทางเดินทาง:
    • ชื่อเรือและเลขทะเบียน
    • เจ้าของเรือหรือผู้ควบคุมเรือ
    • เส้นทางเดินทางของเรือ
  2. ข้อมูลสินค้า:
    • จำนวนทั้งหมดและประเภทของสินค้า
    • รายละเอียดเฉพาะของสินค้า เช่น น้ำหนัก, ปริมาณ, คุณลักษณะเฉพาะ
  3. ข้อมูลการจัดส่ง:
    • ชื่อและที่อยู่ของผู้นำเข้า (CONSIGNEE)
    • ชื่อและที่อยู่ของผู้ส่ง (SHIPPER)
    • สถานที่และวันที่ที่สินค้าคาดว่าจะถึง
  4. เงื่อนไขการจัดส่ง:
    • เงื่อนไขการจ่ายเงิน (หากมี)
    • ข้อกำหนดเกี่ยวกับการรับสินค้าที่ท่าเรือ
  5. ลายเซ็นผู้รับประกัน:
    • ลายเซ็นของเจ้าของเรือหรือตัวแทนทางทะเล
  6. เอกสารประกอบ:
    • ใบอนุญาตหรือเอกสารอื่น ๆ ที่จำเป็นตามกฎหมายหรือเอกสารที่เกี่ยวข้องกับสินค้าที่จะถูกขนส่ง

การใช้ใบปล่อยสินค้า (D/O) เป็นเรื่องสำคัญในการทำการค้าระหว่างประเทศและใช้เป็นหลักฐานในการเรียกร้องสินค้าที่จัดส่งมาถึงท่าเรือปลายทาง การเตรียมเอกสารนี้ให้ครบถ้วนและถูกต้องจะช่วยลดความเสี่ยงในกระบวนการขนส่งและการศุลกากร

ข้อมูลเพิ่มเติม

เงื่อนไขการจ่ายเงิน หรือเงื่อนไขการชำระเงิน

ข้อตกลงพิเศษหรือคำสั่งซื้อเพิ่มเติม (ถ้ามี)

คำแนะนำหรือข้อกำหนดเพิ่มเติมที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้าสินค้า

การรักษาและการตรวจสอบข้อมูลในใบปล่อยสินค้าอย่างรอบคอบเป็นสิ่งสำคัญเพื่อป้องกันความผิดพลาดและปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในกระบวนการนำเข้าสินค้าให้ชัดเจนและปราศจากความไม่เรียบร้อยในการดำเนินงานของธุรกิจขนส่งสินค้า

ความสำคัญทางกฏหมาย

ใบปล่อยสินค้าหรือ Delivery Order (D/O) ป็นเอกสารที่มีบทบาทสำคัญในการจัดการขนส่งสินค้าทางทะเลตามกฏหมายที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ยังสามารถใช้เป็นหลักฐานในการทำธุรกรรมการค้าระหว่างประเทศได้ด้วย ข้อความหลักๆ ที่เกี่ยวข้องกับกฏหมายใบปล่อยสินค้า (D/O) ได้แก่

  1. สัญญาและข้อกำหนดในการขนส่ง: D/O เป็นเอกสารที่ใช้ในการยืนยันการจัดส่งสินค้าตามสัญญาการขนส่งที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะระบุเงื่อนไขที่ผู้ส่งและผู้รับตกลงกันไว้ เช่น การจ่ายค่าขนส่ง, ความรับผิดชอบในการส่งสินค้า, และเงื่อนไขการรับสินค้าที่ท่าเรือปลายทาง.
  2. เอกสารสำหรับศุลกากร: D/O เป็นเอกสารที่ทำหน้าที่เป็นหลักฐานในการสร้าง Inward Cargo Manifest หรือบัญชีสินค้าขาเข้าประเทศที่ต้องยื่นให้กับศุลกากร เพื่อให้ได้รับอนุญาตให้นำสินค้าเข้าประเทศได้.
  3. สัญญาการค้าระหว่างประเทศ: D/O เป็นเอกสารที่ช่วยในการยืนยันการทำธุรกรรมการค้าระหว่างประเทศ โดยระบุข้อมูลเกี่ยวกับการจัดส่งสินค้า และเงื่อนไขที่ตกลงกันไว้ระหว่างผู้ส่งและผู้รับ.
  4. หลักฐานในการเรียกร้อง: D/O เป็นหลักฐานที่ใช้ในการเรียกร้องสินค้าที่จัดส่งมาถึงท่าเรือปลายทาง โดยใช้เป็นหลักฐานในการตรวจสอบและรับสินค้า

การใช้ D/O ต้องเป็นไปตามกฏหมายของแต่ละประเทศที่เกี่ยวข้อง ซึ่งอาจมีข้อกำหนดที่แตกต่างกันไปตามกฏหมายภูมิภาคและนโยบายที่เกี่ยวข้องในการจัดการขนส่งทางทะเล

Categories
Blog

ใบขนส่งสินค้าขาเข้า หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า “ใบขน” (Bill of Lading – B/L)

ใบขนส่งสินค้าขาเข้า เป็นเอกสารที่สำคัญในการ นำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ มีบทบาทในการยืนยันการขนส่งสินค้าและเป็นเอกสารที่จำเป็นสำหรับการ ปล่อยสินค้าออกจากด่านศุลกากร

รายละเอียดที่สำคัญในใบขนส่งสินค้าขาเข้าได้แก่:

  1. ชื่อผู้ส่งสินค้า (Shipper)
  2. ชื่อผู้รับสินค้า (Consignee)
  3. ชื่อเรือและหมายเลขเที่ยว (Vessel name and Voyage number)
  4. ท่าเรือส่งออก (Port of Loading)
  5. ท่าเรือนำเข้า (Port of Discharge)
  6. รายละเอียดสินค้า (Description of Goods)
  7. ปริมาณและหน่วยนับของสินค้า (Quantity and Unit of Measure)
  8. น้ำหนักรวม (Gross Weight)
  9. หมายเลขตู้คอนเทนเนอร์ (Container Number)
  10. หมายเลขบิล (Bill of Lading Number)

การใช้ใบขนส่งสินค้าขาเข้า มีความสำคัญในกระบวนการศุลกากร การประกันภัยสินค้า และการตรวจสอบคุณภาพและปริมาณสินค้าที่นำเข้า ดังนั้น การเตรียมและตรวจสอบเอกสารนี้ให้ถูกต้องและครบถ้วนจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในกระบวนการนำเข้าสินค้า

ใบขนส่งสินค้าขาเข้าหรือใบขนเป็นเอกสารที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในกระบวนการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศไปยังประเทศผู้รับ นอกจากจะใช้เป็นหลักฐานการขนส่งสินค้าแล้ว ยังมีบทบาทสำคัญในหลายกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้าสินค้า การประกันภัย และการดำเนินพิธีการศุลกากร

การเตรียมใบขนส่งสินค้าขาเข้า

การเตรียมใบขนส่งสินค้าขาเข้าจะต้องมีความรอบคอบและตรวจสอบรายละเอียดอย่างละเอียด เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในการดำเนินพิธีการศุลกากรและการรับสินค้าที่ท่าเรือ รายละเอียดที่ควรใส่ใจประกอบด้วย:

  1. ชื่อผู้ส่งสินค้า (Shipper):
    • ชื่อและที่อยู่ของผู้ส่งสินค้าจากต่างประเทศ
    • ต้องระบุให้ชัดเจนเพื่อใช้ในการติดตามและติดต่อกรณีมีปัญหาเกี่ยวกับสินค้า
  2. ชื่อผู้รับสินค้า (Consignee):
    • ชื่อและที่อยู่ของผู้รับสินค้าในประเทศปลายทาง
    • ต้องระบุให้ชัดเจนและถูกต้องเพื่อป้องกันการส่งสินค้าผิดคน
  3. ชื่อเรือและหมายเลขเที่ยว (Vessel name and Voyage number):
    • ข้อมูลเกี่ยวกับเรือที่ใช้ในการขนส่งสินค้าและหมายเลขเที่ยวของเรือ
    • ใช้ในการติดตามสถานะของการขนส่งและการจัดการเวลาสำหรับการขนถ่ายสินค้า
  4. ท่าเรือส่งออก (Port of Loading):
    • ชื่อท่าเรือที่สินค้าออกจากประเทศต้นทาง
    • เป็นข้อมูลที่ใช้ในการวางแผนและเตรียมการนำเข้าสินค้า
  5. ท่าเรือนำเข้า (Port of Discharge):
    • ชื่อท่าเรือที่สินค้าจะถูกนำเข้ามายังประเทศปลายทาง
    • ใช้ในการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินพิธีการศุลกากร
  6. รายละเอียดสินค้า (Description of Goods):
    • รายละเอียดเกี่ยวกับชนิดของสินค้า เช่น ชื่อสินค้า วัสดุที่ใช้ผลิต ขนาด รูปร่าง
    • เป็นข้อมูลสำคัญที่ใช้ในการตรวจสอบและประเมินค่าภาษีศุลกากร
  7. ปริมาณและหน่วยนับของสินค้า (Quantity and Unit of Measure):
    • จำนวนสินค้าที่ขนส่งและหน่วยนับ เช่น กล่อง ตัน ลิตร เป็นต้น
    • ต้องระบุให้ถูกต้องและตรงกับความเป็นจริงเพื่อป้องกันปัญหาในการตรวจสอบสินค้า
  8. น้ำหนักรวม (Gross Weight):
    • น้ำหนักรวมของสินค้ารวมถึงบรรจุภัณฑ์
    • ใช้ในการประเมินค่าภาษีและค่าธรรมเนียมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้า
  9. หมายเลขตู้คอนเทนเนอร์ (Container Number):
    • หมายเลขของตู้คอนเทนเนอร์ที่ใช้ในการขนส่งสินค้า
    • ใช้ในการติดตามและตรวจสอบการขนถ่ายสินค้า
  10. หมายเลขบิล (Bill of Lading Number):
    • หมายเลขบิลขนส่งสินค้าที่ออกโดยผู้ให้บริการขนส่ง
    • เป็นหมายเลขอ้างอิงที่สำคัญในการติดตามและดำเนินการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสินค้า

ขั้นตอนการใช้ใบขนส่งสินค้าขาเข้า

กระบวนการใช้ใบขนส่งสินค้าขาเข้ามีขั้นตอนหลัก ๆ ดังนี้:

  1. การเตรียมเอกสาร:
    • ผู้ส่งสินค้าต้องจัดเตรียมใบขนและเอกสารที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ เช่น ใบกำกับสินค้า (Invoice) รายการบรรจุ (Packing List) และใบรับรองการตรวจสอบสินค้า (Certificate of Inspection)
  2. การตรวจสอบเอกสาร:
    • ผู้รับสินค้าและตัวแทนศุลกากรต้องตรวจสอบความถูกต้องของเอกสารทั้งหมด
    • หากพบข้อผิดพลาดหรือข้อมูลที่ไม่ตรงกัน ต้องรีบแก้ไขก่อนที่จะนำสินค้าออกจากท่าเรือ
  3. การดำเนินพิธีการศุลกากร:
    • ผู้รับสินค้าหรือตัวแทนศุลกากรต้องยื่นใบขนและเอกสารที่เกี่ยวข้องกับสำนักงานศุลกากร
    • ศุลกากรจะตรวจสอบเอกสารและอาจมีการตรวจสอบสินค้าจริงตามความจำเป็น
  4. การชำระภาษีและค่าธรรมเนียม:
    • หลังจากการตรวจสอบและประเมินค่าภาษี ผู้รับสินค้าต้องชำระภาษีศุลกากรและค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้อง
    • ค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องอาจรวมถึงค่าขนส่ง ค่าจัดการสินค้า และค่าประกันภัย
  5. การปล่อยสินค้า:
    • เมื่อศุลกากรอนุมัติและได้รับการชำระค่าภาษีและค่าธรรมเนียมเรียบร้อยแล้ว สินค้าจะถูกปล่อยออกจากท่าเรือ
    • ผู้รับสินค้าสามารถดำเนินการขนส่งสินค้าจากท่าเรือไปยังที่หมายปลายทาง

ความสำคัญของ ใบขนส่งสินค้าขาเข้า

ใบขนส่งสินค้าขาเข้ามีความสำคัญต่อหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้องในการนำเข้าสินค้า ไม่ว่าจะเป็นผู้ส่งสินค้า ผู้รับสินค้า ศุลกากร และหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

  1. สำหรับผู้ส่งสินค้า:
    • ใบขนเป็นหลักฐานการส่งสินค้าและการขนส่งที่ถูกต้องตามกฎหมาย
    • ใช้ในการยืนยันการส่งสินค้าและการจัดการข้อร้องเรียนหากมีปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างการขนส่ง
  2. สำหรับผู้รับสินค้า:
    • ใบขนเป็นเอกสารสำคัญในการดำเนินพิธีการศุลกากรและการปล่อยสินค้าออกจากท่าเรือ
    • ใช้ในการตรวจสอบความถูกต้องของสินค้าที่ได้รับและประเมินค่าภาษีที่ต้องชำระ
  3. สำหรับศุลกากร:
    • ใบขนเป็นเครื่องมือในการตรวจสอบและประเมินค่าสินค้าที่นำเข้า
    • ใช้ในการคำนวณภาษีศุลกากรและค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้าสินค้า
  4. สำหรับหน่วยงานอื่น ๆ:
    • ใบขนเป็นเอกสารที่ใช้ในการประกันภัยสินค้าและการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนในกรณีที่สินค้าสูญหายหรือเสียหาย
    • ใช้ในการจัดการและวางแผนการขนส่งสินค้าต่อไปยังที่หมายปลายทาง

ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในการใช้ ใบขนส่งสินค้าขาเข้า

แม้ว่าใบขนส่งสินค้าขาเข้าจะเป็นเอกสารที่สำคัญ แต่ก็อาจเกิดปัญหาต่าง ๆ ขึ้นได้ เช่น:

  1. การระบุข้อมูลผิดพลาด:
    • หากมีการระบุข้อมูลผิดพลาด เช่น ชื่อผู้รับสินค้าหรือรายละเอียดสินค้า อาจทำให้เกิดความล่าช้าในการปล่อยสินค้า
    • ควรตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลในใบขนก่อนการนำส่งศุลกากร
  2. การตรวจสอบสินค้าโดยศุลกากร:
    • ในบางกรณี ศุลกากรอาจต้องการตรวจสอบสินค้าจริงเพื่อยืนยันความถูกต้องของข้อมูลในใบขน
    • การตรวจสอบนี้อาจทำให้เกิดความล่าช้าในการปล่อยสินค้า
  3. การชำระภาษีและค่าธรรมเนียม:
    • หากผู้รับสินค้าไม่สามารถชำระค่าภาษีและค่าธรรมเนียมตามที่กำหนด อาจทำให้ไม่สามารถนำสินค้าออกจากท่าเรือได้
    • ควรเตรียมการชำระเงินล่วงหน้าและตรวจสอบค่าภาษีที่ต้องชำระเพื่อป้องกันปัญหา
  4. การขนส่งสินค้าต่อจากท่าเรือ:
    • การขนส่งสินค้าต่อจากท่าเรือไปยังที่หมายปลายทางอาจมีปัญหาด้านการจัดการเวลาและการประสานงาน
    • ควรวางแผนการขนส่งและเตรียมการล่วงหน้าเพื่อให้การดำเนินการเป็นไปอย่างราบรื่น

ข้อเสนอแนะในการจัดการ ใบขนส่งสินค้าขาเข้า

เพื่อให้การใช้ใบขนส่งสินค้าขาเข้าเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและลดปัญหาที่อาจเกิดขึ้น ควรปฏิบัติตามข้อเสนอแนะดังนี้:

  1. ตรวจสอบข้อมูลอย่างละเอียด:
    • ควรตรวจสอบข้อมูลในใบขนและเอกสารที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียดก่อนการยื่นศุลกากร
    • ตรวจสอบความถูกต้องของชื่อ ที่อยู่ รายละเอียดสินค้า และหมายเลขตู้คอนเทนเนอร์
  2. การประสานงานกับตัวแทนศุลกากร:
    • ควรประสานงานกับตัวแทนศุลกากรอย่างใกล้ชิดเพื่อให้การดำเนินพิธีการเป็นไปอย่างราบรื่น
    • ให้ข้อมูลที่ถูกต้องและครบถ้วนแก่ตัวแทนศุลกากรเพื่อป้องกันความล่าช้า
  3. การเตรียมการชำระภาษีและค่าธรรมเนียม:
    • ควรเตรียมการชำระภาษีและค่าธรรมเนียมล่วงหน้าและตรวจสอบอัตราภาษีที่เกี่ยวข้อง
    • จัดเตรียมงบประมาณสำหรับการชำระภาษีและค่าธรรมเนียมเพื่อป้องกันปัญหาทางการเงิน
  4. การวางแผนการขนส่งต่อจากท่าเรือ:
    • วางแผนการขนส่งสินค้าจากท่าเรือไปยังที่หมายปลายทางล่วงหน้า
    • ประสานงานกับบริษัทขนส่งและผู้ให้บริการโลจิสติกส์เพื่อให้การขนส่งเป็นไปอย่างราบรื่น

การใช้ใบขนส่งสินค้าขาเข้าอย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยให้การนำเข้าสินค้าเป็นไปอย่างราบรื่น ลดความเสี่ยงและปัญหาที่อาจเกิดขึ้น และเพิ่มความมั่นใจในการดำเนินธุรกิจนำเข้าสินค้าอย่างมืออาชีพ

การจัดการกระบวนการหลังการนำเข้าสินค้า

หลังจากสินค้าถูกปล่อยออกจากท่าเรือและดำเนินการทางศุลกากรเรียบร้อยแล้ว ยังมีขั้นตอนอื่น ๆ ที่จำเป็นต้องดำเนินการเพื่อให้กระบวนการนำเข้าสินค้าสมบูรณ์ และมีประสิทธิภาพ ดังนี้:

  1. การตรวจสอบคุณภาพและปริมาณสินค้า:
    • เมื่อสินค้ามาถึงที่หมายปลายทาง ควรทำการตรวจสอบคุณภาพและปริมาณสินค้าว่าตรงตามใบขนและเอกสารกำกับสินค้าหรือไม่
    • หากพบปัญหา เช่น สินค้าชำรุด สูญหาย หรือปริมาณไม่ตรงตามใบขน ควรรีบแจ้งผู้ส่งสินค้าและผู้ให้บริการขนส่งเพื่อดำเนินการแก้ไข
  2. การจัดเก็บสินค้า:
    • ควรจัดเก็บสินค้าที่นำเข้าในสถานที่ที่เหมาะสม เช่น คลังสินค้า หรือโกดังที่มีระบบรักษาความปลอดภัยและการควบคุมคุณภาพที่ดี
    • การจัดเก็บสินค้าตามประเภทและความต้องการของสินค้า เช่น การควบคุมอุณหภูมิสำหรับสินค้าที่ต้องการความเย็น หรือการเก็บรักษาในสภาพแวดล้อมที่ปราศจากความชื้น
  3. การจัดการเอกสารและบันทึกข้อมูล:
    • เก็บรักษาใบขนและเอกสารที่เกี่ยวข้องทั้งหมดเป็นระยะเวลาที่กำหนดตามกฎหมายและนโยบายของบริษัท
    • บันทึกข้อมูลการนำเข้าสินค้าในระบบบริหารจัดการของบริษัท เพื่อใช้ในการตรวจสอบย้อนหลังและการดำเนินงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
  4. การบริหารความเสี่ยงและการประกันภัย:
    • ควรทำประกันภัยสินค้านำเข้าเพื่อคุ้มครองความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น เช่น การสูญหาย ชำรุด หรือเสียหายระหว่างการขนส่ง
    • การประกันภัยสามารถช่วยลดความเสี่ยงทางการเงินที่อาจเกิดขึ้นและเพิ่มความมั่นใจในการนำเข้าสินค้า
  5. การประเมินผลและปรับปรุงกระบวนการ:
    • ทำการประเมินผลการนำเข้าสินค้าทุกครั้ง เพื่อระบุปัญหาและข้อบกพร่องที่เกิดขึ้นในกระบวนการ
    • ปรับปรุงกระบวนการนำเข้าสินค้าอย่างต่อเนื่อง โดยการเรียนรู้จากประสบการณ์ที่ผ่านมาและนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้ในการบริหารจัดการ

การใช้เทคโนโลยีในการบริหารจัดการนำเข้าสินค้า

เทคโนโลยีมีบทบาทสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพและลดความยุ่งยากในกระบวนการนำเข้าสินค้า การนำเทคโนโลยีมาใช้สามารถช่วยในการบริหารจัดการข้อมูล การติดตามสถานะสินค้า และการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้อย่างมีประสิทธิภาพ:

  1. ระบบบริหารจัดการซัพพลายเชน (Supply Chain Management System):
    • ใช้ระบบบริหารจัดการซัพพลายเชนเพื่อวางแผน ควบคุม และติดตามกระบวนการนำเข้าสินค้าตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง
    • ระบบนี้ช่วยในการบริหารสต็อกสินค้า การติดตามสถานะการขนส่ง และการประสานงานกับผู้จัดหาสินค้าและผู้ให้บริการขนส่ง
  2. การใช้บาร์โค้ดและ RFID:
    • ใช้เทคโนโลยีบาร์โค้ดและ RFID ในการติดตามและตรวจสอบสินค้าในกระบวนการขนส่งและการจัดเก็บ
    • ช่วยลดความผิดพลาดในการระบุสินค้าและเพิ่มความรวดเร็วในการดำเนินงาน
  3. ระบบเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Document Management System):
    • ใช้ระบบเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ในการจัดการและเก็บรักษาเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้าสินค้า เช่น ใบขน ใบกำกับสินค้า และรายการบรรจุ
    • ลดการใช้เอกสารกระดาษและเพิ่มความสะดวกในการค้นหาและเข้าถึงข้อมูล
  4. แพลตฟอร์มการสื่อสารและการประสานงาน (Collaboration Platforms):
    • ใช้แพลตฟอร์มการสื่อสารและการประสานงาน เช่น อีเมล การประชุมออนไลน์ และแอปพลิเคชันการสื่อสารภายในองค์กร เพื่อการติดต่อสื่อสารระหว่างผู้ที่เกี่ยวข้องในกระบวนการนำเข้า
    • ช่วยเพิ่มความรวดเร็วและประสิทธิภาพในการสื่อสารและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น
  5. การใช้ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence – AI):
    • ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ในการวิเคราะห์ข้อมูลและการทำนายแนวโน้มในกระบวนการนำเข้าสินค้า
    • AI สามารถช่วยในการวางแผนการสั่งซื้อ การจัดการสต็อก และการคาดการณ์ความต้องการของตลาด

กฎหมายและระเบียบข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้าสินค้า

การนำเข้าสินค้าต้องปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบข้อบังคับที่เกี่ยวข้องเพื่อให้กระบวนการนำเข้าสินค้าเป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎหมายและไม่มีปัญหาที่เกิดขึ้นในภายหลัง:

  1. กฎหมายศุลกากร:
    • กฎหมายศุลกากรเป็นกฎหมายที่กำหนดข้อบังคับและเงื่อนไขในการนำเข้าสินค้า เช่น การชำระภาษีศุลกากร การตรวจสอบสินค้า และการดำเนินพิธีการศุลกากร
    • ผู้ประกอบการนำเข้าควรศึกษากฎหมายศุลกากรและปฏิบัติตามข้อบังคับอย่างเคร่งครัด
  2. กฎหมายการค้าระหว่างประเทศ:
    • กฎหมายการค้าระหว่างประเทศเกี่ยวข้องกับการทำสัญญาการค้า การขนส่งสินค้า และการประกันภัยสินค้า
    • ควรศึกษาข้อกำหนดและเงื่อนไขในสัญญาการค้าระหว่างประเทศเพื่อให้การดำเนินการเป็นไปอย่างถูกต้อง
  3. กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค:
    • กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคกำหนดข้อบังคับในการนำเข้าสินค้าที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยและคุณภาพของสินค้า
    • ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าสินค้าที่นำเข้ามีคุณภาพและความปลอดภัยตามมาตรฐานที่กำหนด
  4. กฎหมายสิ่งแวดล้อม:
    • กฎหมายสิ่งแวดล้อมกำหนดข้อบังคับในการนำเข้าสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมมลพิษและการจัดการของเสีย
    • ควรตรวจสอบว่าสินค้าที่นำเข้ามาไม่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและปฏิบัติตามกฎหมายสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้อง

การปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบข้อบังคับที่เกี่ยวข้องในการนำเข้าสินค้าจะช่วยให้กระบวนการนำเข้าสินค้าเป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น และเสริมสร้างความเชื่อมั่นในธุรกิจนำเข้าสินค้า

Categories
Blog

พิธีการศุลกากรนำของเข้าทางบก

พิธีการศุลกากรนำของเข้าทางบก

  1. การรายงานยานพาหนะเข้าและการยื่นบัญชีสินค้าทางบก (Car Manifest)

ผู้รับผิดชอบควบคุมการขนส่งสินค้ามีหน้าที่รายงานยานพาหนะเข้าและยื่นบัญชีสินค้าทางบก (Car Manifest) ตามแบบ ศบ.1 เมื่อยานพาหนะจากต่างประเทศมาถึงด่านพรมแดนทางบก โดยการส่งข้อมูลในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์มายังระบบคอมพิวเตอร์ของกรมศุลกากร เมื่อระบบคอมพิวเตอร์ของกรมฯ ได้รับข้อมูลและทำการตรวจสอบความถูกต้องเรียบร้อยแล้ว ต่อมาระบบฯ ทำการออกเลขที่รับรายงานยานพาหนะ (Received Control Number) ให้แก่ผู้รับผิดชอบการขนส่งเพื่อนำมาแสดงต่อพนักงานศุลกากร ณ ด่านพรมแดนทางบกที่ได้มาถึง เจ้าพนักงานศุลกากรตรวจสอบข้อมูลเพื่ออนุญาตให้ควบคุมยานพาหนะไปยังด่านศุลกากรเพื่อปฏิบัติพิธีการยื่นใบขนสินค้าขาเข้าต่อไป

กรณีผู้รับผิดชอบการขนส่งสินค้า ไม่สามารถส่งข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์เองได้ ให้กรอกรายละเอียดในรายงานยานพาหนะเข้าและบัญชีสินค้าทางบก (Car Manifest) ตามแบบ ศบ.1 ให้ครบถ้วน นำมายื่นแบบศบ.1 ต่อพนักงานศุลกากรประจำด่านพรมแดนเพื่อตรวจสอบและส่งข้อมูลเข้าระบบคอมพิวเตอร์ของกรมฯ เพื่อออกเลขที่รับรายงานยานพาหนะ (Received Control Number) ก่อนอนุญาตให้ควบคุมยานพาหนะไปยังด่านศุลกากร

พิธีการศุลกากรนำของเข้าทางบก

  1. การยื่นใบขนสินค้าขาเข้า

เมื่อยานพาหนะที่บรรทุกสินค้าได้ผ่านด่านพรมแดนมายังด่านศุลกากร ในกรณีที่เป็นสินค้าทั่วไป ผู้นำของเข้าจะต้องจัดทำ “ใบขนสินค้าขาเข้าพร้อมแบบแสดงรายการภาษีสรรพสามิตและภาษีมูลค่าเพิ่ม (กศก. 99/1 )” ตามมาตรฐานและรูปแบบที่กรมศุลกากรกำหนด โดยส่งข้อมูลใบขนสินค้าในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์มายังระบบคอมพิวเตอร์ของกรมศุลกากร เมื่อระบบคอมพิวเตอร์ของกรมฯ ได้รับข้อมูลแล้วจะทำการตรวจสอบและตัดบัญชีสินค้าทางบก (Car Manifest) หากพบว่าข้อมูลถูกต้องตามมาตรฐานและรูปแบบที่กำหนด ระบบคอมพิวเตอร์จะตอบกลับและออกเลขที่ใบขนสินค้าขาเข้าเพื่อให้ผู้นำของเข้าไปดำเนินการชำระภาษีอากรและรอรับการตรวจปล่อยออกจากอารักขาศุลกากรต่อไป

          2.1 ข้อมูลที่ควรจัดเตรียมเพื่อใช้ประกอบการยื่นใบขนสินค้าขาเข้า

  • บัญชีราคาสินค้า (Invoice)
  • บัญชีรายละเอียดบรรจุหีบห่อ (Packing List)
  • ใบตราส่งสินค้า (Bill of Lading)
  • ใบแจ้งยอดเบี้ยประกัน (Insurance Premium Invoice)
  • ใบอนุญาตหรือหนังสืออนุญาต กรณีเป็นของต้องกำกัดหรือสินค้าที่ต้องควบคุมการนำเข้า
  • หนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (Certificate of Origin) (กรณีขอลดอัตราอากร)
  • เอกสารอื่น ๆ เช่น เอกสารแสดงส่วนผสม คุณลักษณะและการใช้งานของสินค้า เป็นต้น

          2.2 วิธีการส่งข้อมูลใบขนสินค้าขาเข้ามายังระบบคอมพิวเตอร์ของกรมศุลกากร สามารถทำได้ 4 ช่องทางดังนี้

  • ผู้นำของเข้าส่งข้อมูลใบขนสินค้าขาเข้าด้วยตนเอง โดยจะต้องลงทะเบียนเป็นผู้ผ่านพิธีการศุลกากรหรือดำเนินพิธีการศุลกากรกับกรมศุลกากรก่อน
  • ผู้นำของเข้ามอบหมายให้ตัวแทนออกของ (Customs Broker) เป็นผู้ส่งข้อมูลแทน
  • ผู้นำของเข้าให้เคาน์เตอร์บริการ (Service Counter) เป็นผู้ส่งข้อมูล
  • ผู้นำของเข้ายื่นใบขนสินค้าขาเข้าในรูปแบบเอกสาร พร้อมทั้งแบบรายละเอียดข้อมูลใบขนสินค้าขาเข้า (ใบนําคีย์) ณ ด่านศุลกากรที่นำเข้า
  1. 3. การชำระค่าภาษีอากร

          เมื่อผู้นำของเข้าได้ยื่นข้อมูลใบขนสินค้าเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ของกรมศุลกากรและได้รับการตอบกลับเลขที่ใบขนสินค้าแล้ว ผู้นำของเข้าจะต้องดำเนินการชำระค่าภาษีอากร (ถ้ามี) และค่าธรรมเนียมศุลกากรให้แล้วเสร็จก่อนไปดำเนินการรับการตรวจปล่อยของออกจากอารักขาศุลกากร โดยผู้นำของเข้าสามารถชำระค่าภาษีอากรและค่าธรรมเนียมศุลกากรได้ 3 ช่องทางดังต่อไปนี้

          3.1 ชำระด้วยตนเองที่หน่วยรับชำระเงินทุกแห่งของกรมศุลกากร ทั้งในรูปแบบเงินสด บัตรภาษี บัตรเดบิต บัตรเครดิต และเช็คของผู้ประกอบการที่มีธนาคารค้ำประกันและได้รับอนุมัติจากกรมศุลกากร

          3.2 ชำระในระบบ e-Payment คือ การชำระเงินค่าภาษีอากรพร้อมกับการส่งข้อมูลใบขนสินค้า โดยการตัดยอดบัญชีธนาคารของผู้นำของเข้าตามที่ได้แจ้งไว้กับกรมศุลกากร

         3.3 ชำระในระบบ e-Bill Payment คือ การใช้เอกสารของกรมศุลกากร (เช่น ใบขนสินค้า ใบสั่งเก็บ)ซึ่งมี QR Code หรือ Bar Code หรือเลขอ้างอิงตามที่ปรากฏในเอกสารนั้น ไปชำระ ณ เคาน์เตอร์ของธนาคาร หรือ Internet Banking หรือ ATM หรือช่องทางการรับชำระเงินอื่น ๆ ของธนาคาร หรือ ผ่านตัวแทนรับชำระเงินที่ทำความตกลงกับกรมศุลกากร ได้แก่ เคาน์เตอร์เซอร์วิสของ 7-11 และ บิ๊กซี

  1. การตรวจปล่อยของออกไปจากอารักขาศุลกากร

          เมื่อผู้นำของเข้าได้ยื่นใบขนสินค้าพร้อมชำระค่าภาษีอากรเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ระบบคอมพิวเตอร์ของกรมศุลกากรจะทำการวิเคราะห์ความเสี่ยงจากข้อมูลในใบขนสินค้าดังกล่าว แล้วแจ้งคำสั่งการตรวจให้ผู้นำของเข้าทราบเพื่อดำเนินการตามคำสั่งการตรวจต่อไป เช่น

          4.1 กรณีมีคำสั่ง “ยกเว้นการตรวจ (Green Line)” ผู้นำของเข้าสามารถไปติดต่อเจ้าพนักงานศุลกากรเพื่อนำของออกจากอารักขาได้ทันที

          4.2 กรณีมีคำสั่ง “ให้เปิดตรวจ (Red Line)” ผู้นำของเข้าต้องติดต่อเจ้าพนักงานศุลกากรเพื่อทำการตรวจสอบของก่อนนำของไปจากอารักขา

          4.3 กรณีมีคำสั่ง “ให้พบพนักงานศุลกากรเนื่องจากได้รับยกเว้นใบอนุญาต (Yellow Line)” ผู้นำของเข้าต้องติดต่อเจ้าพนักงานศุลกากรเพื่อตรวจสอบเงื่อนไขการได้รับยกเว้นใบอนุญาตก่อนนำของไปจากอารักขา